ฟ้าผ่าเกิดจากอะไร ? ทำไมเวลาเล่นโทรศัพท์ตอนฝนตก ต้องกลัวฟ้าผ่า เล่นโทรศัพท์ตอนฝนตกระวังฟ้าผ่ามั้ย
? คงเป็นประโยคที่หลายคนได้ยินมาตั้งแต่เด็ก
และยังมีข่าวให้ได้เห็นอยู่บ่อยๆ อีกด้วย ในปัจจุบันก็ยังคงมีทั้งคนที่เชื่อ
และไม่เชื่อ ซึ่งก็ยังเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่ตลอดเมื่อถึงฤดูฝน
สำหรับบทความนี้เราจะมาดูกันว่า ถ้าเราเล่นมือถือตอนฝนตกฟ้าจะผ่าจริงหรือไม่ ? ฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
? ฟ้าผ่า (Lightning) ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดภายใต้เมฆในช่วงฝนฟ้าคะนอง
ซึ่งเมื่อก้อนเมฆเคลื่อนที่ก็จะมีลมและเกิดการเสียดสีกับโมเลกุลของหยดน้ำ
และน้ำแข็งภายในก้อนเมฆ ทำให้เกิดการแตกตัวของประจุไฟฟ้าทั้งบวกและลบ โดยประจุลบส่วนใหญ่ที่อยู่ทางด้านล่างของก้อนเมฆนั้น
มีความสามารถในการเหนี่ยวนำให้วัตถุทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้ก้อนเมฆเป็นประจุบวกได้ทั้งหมด
พร้อมทั้งดึงดูดให้ประจุบวกวิ่งขึ้นมาหาประจุลบได้
ทั้งนี้หากประจุลบใต้ก้อนเมฆมีปริมาณมากพอ จะทำให้อากาศด้านล่างก้อนเมฆค่อยๆ
แตกตัวเมื่อประจุลบและประจุบวกวิ่งมาถึงกันทำให้เกิดเป็นฟ้าผ่าได้ในที่สุด ฟ้าผ่าเพราะอะไร ? ฟ้าผ่าเกิดขึ้นเพราะเราไปอยู่ในจุดเสี่ยง
ซึ่งทุกบริเวณที่เกิดฝนฟ้าคะนองมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดฟ้าผ่าได้หมด
เพียงแต่จุดเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดฟ้าผ่าได้มากที่สุด คือ ที่โล่งแจ้ง
และจุดที่สูงสุดในบริเวณนั้นๆ เช่น ต้นไม้, บนอาคารสูง
เนื่องจากประจุไฟฟ้ามีโอกาสวิ่งมาเจอกันได้เร็วที่สุด ส่วนวัตถุที่เป็นตัวทำให้ฟ้าผ่าใส่มนุษย์ได้มากที่สุด
คือวัตถุที่อยู่สูงเหนือจากศีรษะมนุษย์ขึ้นไป โดยเฉพาะสิ่งของที่มีปลายแหลม เช่น
ร่มที่ด้านปลายบนสุดเป็นเหล็กแหลม ใช้มือถือขณะฝนตกฟ้าผ่าจริงรึเปล่า ? ความเชื่อที่ว่าเล่นมือถือขณะฝนตกทำให้ฟ้าผ่าจริงๆ
แล้วมีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะมือถือไม่นับว่าเป็นสื่อล่อฟ้า
แต่ถ้าเป็นโทรศัพท์บ้านก็มีความเสี่ยงไม่น้อย เพราะฟ้าอาจผ่าลงมาที่เสาสัญญาณได้
และเมื่อกระแสไฟจากฟ้าผ่าวิ่งมาตามสายโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อก็ทำให้ทั้งโทรศัพท์และผู้ใช้งานได้รับอันตราย
นอกจากนี้ การที่เราไปยืนกลางที่โล่งแจ้ง
หรือใต้ต้นไม้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงที่จะโดนฟ้าผ่าสูงมากกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือขณะฝนตกเสียอีก ส่วนคำพูดที่ว่า
เล่นมือถือตอนฝนตกแล้วฟ้าจะผ่า น่าจะมาจากการที่ได้เห็นข่าวอยู่บ่อยๆ
เพราะที่ตัวของคนที่ถูกฟ้าผ่ามักจะมีโลหะ หรือมือถืออยู่กับตัวด้วย ซึ่งจริงๆ
แล้วโลหะ
หรือมือถือนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้คนที่โดนฟ้าผ่าได้รับบาดเจ็บรุนแรงมากขึ้น
เพราะการใช้มือถือในบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดฟ้าผ่าอาจทำให้เกิดการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าเข้ามาในแบตเตอรี่หากเกิดฟ้าผ่าขึ้น
และทำให้เกิดการระเบิด หรือกระแสไฟอาจจะวิ่งเข้าโลหะที่ติดอยู่กับตัว
ส่งผลให้ผู้ถูกฟ้าผ่าได้รับบาดเจ็บมากขึ้นถึงขั้นเสียชีวิตได้ เมื่อปี พ.ศ. 2552
(ค.ศ. 2009) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดงานเสวนา
ในหัวข้อ "ฟ้าผ่า ข้อเท็จจริงที่ควรรู้"
ซึ่งมีนักวิชาการและผู้เชียวชาญทางด้านการเกิดฟ้าผ่าเข้าร่วมหลายคน
และภายในงานได้มีการจำลองสภาวะฟ้าผ่ากับโทรศัพท์มือถือ เพื่อพิสูจน์ว่ามือถือเป็นสื่อล่อฟ้าจริงหรือไม่
การทดลองแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ โดยใช้โทรศัพท์มือถือที่ปิดเครื่อง, โทรศัพท์มือถือที่เปิดเครื่องและมีสายเรียกเข้า,
โทรศัพท์มือถือที่เปิดเครื่องมีสายเรียกเข้าและมีการตั้งรับอัตโนมัติเป็นสื่อล่อฟ้า
ซึ่งผลการทดลองทั้ง 3 รูปแบบ พบว่าฟ้าไม่ผ่าลงโทรศัพท์มือถือ
และทุกเครื่องยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ นอกจากนี้
เพื่อแสดงให้เห็นข้อเท็จจริงของอันตรายจากฟ้าผ่า
จึงได้มีการสาธิตกับวัตถุที่จำลองเป็นต้นไม้ ก็พบว่าฟ้าผ่าลงที่บริเวณดังกล่าว
เนื่องจากเป็นจุดที่สูงกว่าบริเวณอื่นๆ ที่สำคัญยังมีการจำลองสถานการณ์โดยใช้ตุ๊กตาแทนคน
ยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อมีฝนฟ้าคะนอง
ซึ่งผลปรากฏว่าฟ้าผ่าลงต้นไม้และมีกระแสไฟกระโดด
ส่วนตัวตุ๊กตามีรอยไหม้บริเวณศีรษะนับเป็นกรณีตัวอย่างอันตรายจากฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทย สรุปเกี่ยวกับการฟ้าผ่า การใช้มือถือในขณะที่ฝนตกไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้โดนฟ้าผ่า
เพราะจากการทดลองของสวทช.ทั้ง 3 รูปแบบข้างต้น พบว่าฟ้าไม่ผ่าลงโทรศัพท์มือถือ
และทุกเครื่องยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ จึงสามารถสรุปได้ว่ามือถือไม่ใช่สายล่อฟ้าส่วนสาเหตุที่จะทำให้ถูกฟ้าผ่านั้นเกิดจากการอยู่ในบริเวณที่เสี่ยง เช่น
อยู่กลางที่โล่งแจ้ง หรือใต้ต้นไม้
แต่หากเราใช้มือถือในบริเวณเสี่ยงแล้วเกิดโดนฟ้าผ่าขึ้นมา
กระแสไฟอาจเข้าสู่แบตเตอรี่ทำให้เกิดการระเบิดที่จะทำให้เราได้รับบาดเจ็บมากกว่าเดิมนั่นเอง ที่มา : www.nstda.or.th , steemit.com |